Metroid Dread กลายเป็นภาคที่มียอดขายตอนเปิดตัวสูงที่สุดในอังกฤษ

แม้ว่าจะมีการเปิดตัววางจำหนายเกม Metroid Dread ไปเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2021 ที่ผ่านมา หลังจากผ่านช่วงเวลามาได้หนึ่งสัปดาห์ ล่าสุดจากการรายงานยอดขายของ GameIndustry.biz ก็ได้มีการเผยออกมาว่าซีรี่ส์ Metrid ภาค Dread มียอดขายสูงสุดตลอดกาลของซีรี่ส์เกมนี้ และมียอดขาดมากกว่าภาคที่แล้วอย่าง Metroid: Samus Returns ถึง 3.5 เลยทีเดียว ซึ่งทั้งนี้ก็ยังไม่ได้รวมยอดขายของฉบับดาวน์โหลดเลยสักนิดเดียว ถึงแม้ว่า Metroid Dread จะขึ้นแท่นซีรี่ส์ของ Metroid ที่ทำยอดขายตอนเปิดตัวในประเทศอังกฤษ แต่ว่าอันดับในภาพรวมยังอยู่อันดับที่ 3 เป็นรองเกมอย่าง FIFA 22 และ Far Cry 6 ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้

เกมที่กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหลังจาก Metroid Dread หายไปนาน

บอกได้เลย่วาช่วงนี้กระแสแนวเกมที่ค่าเล็กพยายามพัฒนาอยู่คงหนีไม่พ้นค่าย Metroidvania เนื่องจากใช้ทุนในการสร้างไม่ค่อยมาก เพราะไม่ได้เป็นเกมที่เน้นกราฟิกเหมือนเกมอื่น แต่สำหรับเกมเพลย์และการแก้ปริศนาผ่านการเล่นที่มาในรูปแบบ 2 มิติ ทำให้การสร้างเกมแนวทางนี้ออกมามากมาย จนผู้เล่นตามแทบไม่ทัน แต่ว่าคนที่อยากเล่นต้นฉบับของตัวเกมนี้จริง ๆ คงต้องไปชุดเล่นภาคเก่ามาเล่นกัน แต่ว่าล่าสุดทางนินเทนโด้ได้เปิดตัว Metroid Dread หนึ่งในต้นกำเนิดแนว Metroidvania ที่กลับมาให้ผู้เล่นได้สัมผัสกันอีกครั้งบนเครื่องเล่น Nintendo Switch และบอกเลยว่าการกลับมาครั้งนี้ทำให้เหล่าแฟนคลับถูกอกถูกใจกันเป็นอย่างมาก

สานต่อเรื่องราวในแบบฉบับ 2 มิติที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร

สำหรับตัวเกม Metroid Dread เป็นการสานต่อเรื่องราวของซีรี่ส์ 2 มิติของ Metroid ที่เรื่องราวของภาคนี้จะเกิดต่อจากภาค Metroid Fusion ที่ตัวละครเอกอย่าง Samus ได้ออกสำรวจดาวเคราะห์ ZDR และได้พบกับอันตรายใหม่ที่คาดไม่ถึง โดยตัวเกมภาคนี้ได้ทีมงาน MercurySteam ที่เคยสร้าง Metroid: Samus Returns บน 3DS ที่ออกในปี 2017 มาสานต่อความสำเร็จร่วมกับ Nintendo EPD ถือว่าสร้างความประหลาดใจพอสมควร เพราะหลังจากประกาศเปิดตัวก็ทำการวางขายในทันทีภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือน

แม้ภาพจะไม่โดดเด่นเหมือนเกมอื่นแต่คุณภาพอยู่ในระดับที่ดี

ภาพใน Metroid Dread อาจจะไม่ได้โดดเด่นสุดตัว เพราะยังไม่ได้ใส่รายละเอียดเข้าไปในหลายส่วนทั้ง ๆ ที่รูปแบบของเกมสามารถจัดหนักได้มากกว่านี้เพราะเป็น 2 มิติแต่ก็ถือว่าทำได้ระดับดีพอตัวมีคัตซีนที่มีคุณภาพ การนำเสนอมีการใส่มุมมองแปลกใหม่และปรับให้ต่อเนื่องกับเกมเพลย์ 2D อย่างลงตัว แถมยังมีความลื่นไหลไม่มีสะดุดบวกกับความเร็วของการเล่นที่สูงพอตัว แต่ก็ไม่มีอาการกระตุกแถมเวลาโหลดยังไม่นานด้วย ถือว่าสำหรับสเปกของ Nintendo Switch แล้วถือว่าดีแล้วแต่ยังไม่สุดเท่านั้นเอง